กิจวัตรประจำวันของแม่ชีทุกวันนี้ ตื่นนอนมาเมื่อไหร่จะกำหนดภาวนาในใจให้จิตสงบก่อน แล้วแผ่เมตตาให้กับเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้ง ๓๑ ภพภูมิ ผู้ใดมีความทุกข์ก็ขอให้พ้นจากทุกข์ ผู้ใดมีความสุขก็ขอให้มีดวงตาเห็นธรรม เมื่อมีดวงตาเห็นธรรมแล้วก็ขอให้หลั่งไหลมาพบกัน
ในการเกิดมาชาตินี้ แม่ชียอมรับความจริงได้ว่าเราไม่สามารถช่วยเหลือคนได้ทุกคน โดยเฉพาะถ้าคนเหล่านั้นยังพอใจกับการแสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญ คนที่ไม่รู้จักพอเราไม่สามารถช่วยได้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เขามีความทุกข์ ต้องการหาทางดับทุกข์ เราสามารถช่วยได้ เพราะหนึ่ง เรามีที่อยู่อาศัยให้พักกายพักใจ สอง เรามีข้าวให้กิน สาม เรามีกำลังใจไว้ให้เสมอ หายเหนื่อยเมื่อไหร่ก็กลับไปใช้ชีวิตอยู่กับความเป็นจริงต่อไปได้
สำหรับคนที่มีทุกข์เราช่วยได้ไม่ยาก เพียงถ้ารู้จักปล่อยวาง หาเวลามาปฏิบัติธรรมสัก ๓ - ๗ วัน ใจจะเข้มแข็งขึ้น กลับไปต่อสู้ชีวิตได้ดีกว่าเดิม แม่ชีเน้นเสมอว่าให้คนเรา บวชใจ ไม่ใช่บวชแค่กาย ไม่ใช่เมื่อมีทุกข์แล้วต้องทิ้งทุกอย่างมาบวชพระบวชชี นี่ไม่ใช่ทางแก้ปัญหา แต่เราต้องหาทางบวชใจ เมื่อบวชใจด้วยศีลด้วยธรรมแล้ว ใจไม่ป่วย จิตเข้มแข็งอยู่กับโลกธรรม ๘ แบบ พอทนได้แล้วก็กลับไปสู้ชีวิตกันต่อ
แม่ชีอยากจะแนะนำให้บวชใจด้วยศีลก่อนเป็นอันดับแรก รักษาใจให้บริสุทธิ์ด้วยศีล อย่างที่เราทราบกันดีว่า ศีล ๕ เป็นหลักพื้นฐานในการดำเนินชีวิตของผู้ครองเรือน เป้าหมายก็เพื่อเป็นมนุษย์ที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น แค่เรารักษาศีลทั้ง ๕ ข้อไว้ให้ครบ ผลดีก็จะเกิดตามมามากมายไม่ต้องรอเห็นชาติหน้า แม้คนอื่นไม่รู้ไม่เห็น แต่ผู้ที่ทำนั้นย่อมรู้ดี และแม้ผลร้ายจะยังไม่ตามมาในตอนนี้ แต่จะให้ผลในวันใดวันหนึ่งอย่างแน่นอน เราชาวพุทธควรจะรักษาศีล ๕ เพื่อควบคุมกาย วาจา ใจ ของเราไม่ให้ทำผิดพลาด ทั้งด้วยความตั้งใจหรือพลั้งเผลอ ที่สำคัญเมื่อจากโลกนี้ไปก็จะได้ไม่ต้องตกไปสู่อบายภูมิ
การให้ทานทำเพื่อลด ละความตระหนี่ของตัวเอง ผลที่ตามมาคือ ยิ่งให้ยิ่งได้ การมีศีลช่วยให้เรามีชีวิตที่ปกติ ไม่เดือดเนื้อร้อนใจเพราะไม่ไปล่วงละเมิดใคร การเจริญภาวนาเป็นการฝึกอบรมจิตใจให้เกิดความสงบและเกิดปัญญาให้รู้แจ้งตามความเป็นจริง ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์